ข้อเปรียบเทียบระหว่างเครื่องกรองอากาศและเครื่องโอโซนในกรณีใช้กำจัดฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5
เครื่องฟอกอากาศ
1. เครื่องฟอกอากาศที่จะสามารถกรองอากาศขนาด PM 2.5 ได้ ต้องมีระบบการทำงานที่ดี และมีแผ่นกรองที่ดีได้มาตรฐานที่เรียกว่า HEPA เครื่องพวกนี้จะมีราคาสูงเกิน 20,000 บาทขึ้นไป
2. เครื่องฟอกอากาศที่สามารถกำจัดเชื้อโรคได้ ก็ต้องมีแผ่นกรองแบบพิเศษที่เรียกว่า Micro Ban
3. เครื่อง ฟอกอากาศที่สามารถกำจัดกลิ่นได้ ก็ต้องมีแผ่นกรองพิเศษที่เรียกว่า Activited Carbon แต่กลไกการกำจัดกลิ่นของเครื่องฟอกอากาศจะทำได้ยาก ประสิทธิภาพต่ำในพื้นที่ ที่ความชื้นสูง
4. กลไกลของเครื่องฟอกอากาศคือการใช้พัดลมดูดอากาศในห้องเข้ามาผ่านแผ่นกรองต่างๆ ดังนั้นเมื่อใช้ไประยะหนึ่ง แผ่นกรองก็จะเต็ม ตันซึ่งผู้ใช้จำเป็นจะต้องเปลี่ยนแผ่นกรองใหม่หรือบางรุ่นทำความสะอาดได้
5. การใช้งานเครื่องฟอกอากาศที่แผ่นกรองสกปรก หรือไม่อยู่ในสภาพปกติ เท่ากับการเปิดเครื่องโดยเปล่าประโยชน์หรือบางครั้งกลายเป็นเครื่องแพร่เชื้อโรคจากเครื่องเอง
เครื่องโอโซน
1. เครื่องโอโซนไม่สามารถกรองอากาศได้
2. เครื่องโอโซนจะเสริมประสิทธิภาพของเครื่องปรับอากาศให้สามารถกรองฝุ่นขนาดเล็กได้ โดยกลไกการเพิ่มไฟฟ้าสถิตย์ ทำให้ฝุ่นจับตัวกันมีขนาดใหญ่ขึ้นและกรองได้ง่ายขึ้น ถ้าใช้งานในห้องที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศฝุ่นก็จะตกลงมาเอง หรือติดอยู่ตามพัดลมอย่างเห็นได้ชัดเจน
3. ก๊าซโอโซนมีคุณสมบัติ Oxidation ที่สามารถกำจัดกลิ่นและฆ่าเชื้อโรค สลายสารพิษในอากาศได้อย่างรวดเร็ว
4. ก๊าซโอโซนที่กระจายไปทั่วห้องสามารถกำจัดเชื้อโรคบนผนัง พื้นพรม ผ้าม่าน ได้อย่างดีเยี่ยม รวมทั้งกำจัดกลิ่นที่เกิดจากการหุงต้ม หรือสารเคมีในเฟอร์นิเจอร์ที่ได้อย่างรวดเร็ว
5. เครื่องโอโซนใช้ออกซิเจนในการผลิตเป็นก๊าซโอโซน จึงไม่มีค่าใช้จ่ายในเรื่องสารเคมี หรือแผ่นกรองแต่อย่างใด และใช้พลังงานไฟฟ้าต่ำมากเพียง 15 วัตต์ หลอดโอโซนมีอายุประมาณห้าปี
6. กลไกลการฟอกอากาศของก๊าซโอโซนก็คือ การทำให้อากาศบริสุทธิ์ โดยการฆ่าเชื้อโรค กำจัดกลิ่น และสลายสารพิษ รวมทั้งทำให้ฝุ่นขนาดเล็กสามารถกรองได้ง่ายขึ้นด้วยเครื่องปรับอากาศ
7. เครื่องโอโซนราคาไม่สูง ( 8500 บาท )สามารถนำไปใช้ได้กับทุกที่ในบ้าน ที่ต้องการกำจัดกลิ่นและฆ่าเชื้อโรค เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องรับแขก ห้องนอน ห้องสมุด หรือแม้แต่ในรถยนต์
|